เมียน้อยอยู่ที่โฉนด เมียหลวงอยู่ที่วัด

เมียน้อยอยู่ที่โฉนด เมียหลวงอยู่ที่วัด

เรื่องเล่าจากคดี

ตอน “เมียน้อยอยู่ที่โฉนด เมียหลวงอยู่ที่วัด”

ในหลายครอบครัวที่ผู้ชายเป็นศูนย์กลางในการจัดการทุกสิ่ง ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนภายในครอบครัว โดยเฉพาะระหว่าง “ภรรยาที่จดทะเบียนสมรส (เมียหลวง)” และ “หญิงอื่นที่ไม่ได้มีสถานะทางกฎหมาย เมียน้อย” อาจก่อให้เกิดข้อพิพาทที่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อจิตใจของผู้เกี่ยวข้อง แต่ยังนำไปสู่การต่อสู้ในชั้นศาลเพื่อรักษาสิทธิในทรัพย์สินที่สร้างมาร่วมกัน บทความนี้ขอนำเสนอคดีหนึ่งซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางของระบบครอบครัว ความคลุมเครือของความสัมพันธ์ และการตีความกฎหมายเกี่ยวกับ “สินสมรส” อย่างลึกซึ้ง โดยไม่ชี้ผิดชี้ถูกให้กับใครคนใดคนหนึ่ง แต่ตั้งคำถามถึงการจัดการสิทธิของทุกฝ่ายในกรอบของกฎหมาย

จุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ และการสร้าง “สินสมรส”

ย้อนกลับไปปี 2518 คุณอรุณ (โจทก์) จดทะเบียนสมรสกับนายสมบัติ (จำเลยที่ 1) ทั้งคู่ร่วมกันประกอบอาชีพจนเก็บเงินได้ 700,000 บาท และซื้อที่ดินพร้อมตึกแถว 3 ชั้นในทำเลทองของกรุงเทพฯ (ปี 2521) แม้จะใส่ชื่อนายสมบัติเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพียงคนเดียวในโฉนด แต่ตามข้อเท็จจริงแล้ว ทรัพย์สินนี้เป็น “สินสมรส” ที่ถือร่วมกันคนละครึ่ง คุณอรุณจึงมีสิทธิครอบครองตามกฎหมาย

นายสมบัติและบ้านเล็ก

ในช่วงเวลานั้น นายสมบัติมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหญิงสาวชื่อคุณดาว ต่อมา คุณดาวตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่งชื่อ คุณมานพ ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ โดยทั้งคุณดาวและคุณมานพเข้ามาอาศัยและใช้ตึกแถวที่เป็นทรัพย์สินของครอบครัวโจทก์เป็นทั้งที่พักและที่ทำงาน นายสมบัติยังคงดูแลคุณดาวและลูกอย่างเปิดเผย แม้จะไม่ได้จดทะเบียนสมรสอย่างเป็นทางการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2551 เขาได้จดทะเบียนรับรองคุณมานพเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย

การโอนกรรมสิทธิ์

เรื่องราวเข้าสู่จุดพลิกผันในวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เมื่อนายสมบัติได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวดังกล่าวให้กับคุณมานพ โดยที่คุณอรุณไม่เคยรับรู้หรือให้ความยินยอม โดยตามประมวลแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1476 บัญญัติไว้ว่า

“สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัวเพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นำทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

และประมวลแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1480 บัญญัติไว้ว่า

“การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน

การฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมตามวรรคหนึ่งห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นหนึ่งปี นับแต่วันที่ได้รู้เหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันที่ได้ทำนิติกรรมนั้น”

อย่างไรก็ตาม คุณดาวจึงมีสิทธิที่จะฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวดังกล่าวให้กับคุณมานพ แต่ต้องทำภายใน 10 ปี

เมื่อรู้ความจริง…แต่เวลาผ่านไปกว่า 14 ปี

คุณอรุณเพิ่งทราบเรื่องนี้เมื่อปลายปี พ.ศ. 2565 หลังจากนายสมบัติเกิดปัญหาเรื่องที่พักกับคุณดาว และบุตรชายของคุณอรุณได้ไปตรวจสอบที่ดินในเดือนธันวาคม จึงพบว่าทรัพย์สินได้ถูกโอนให้คุณมานพแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551

คุณอรุณจึงฟ้องร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ และให้นายสมบัติและคุณมานพจดทะเบียนใส่ชื่อเธอเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว

การต่อสู้ในชั้นศาล: สินสมรสหรือหน้าที่ธรรมจรรยา และอายุความ

คุณอรุณยืนยันว่า ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นสินสมรสที่เธอมีกรรมสิทธิ์คนละครึ่ง การโอนโดยไม่มีความยินยอมของเธอจึงถือเป็นการจัดการสินสมรสโดยมิชอบ และเป็นการกระทำไม่สุจริต

ฝ่ายคุณมานพ (จำเลยที่ 2) โต้แย้งว่า คุณอรุณเคยลงชื่อให้ความยินยอมในการซื้อที่ดินแต่แรก และการโอนที่ดินให้บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายอย่างเขา ถือเป็นการให้ตามหน้าที่ธรรมจรรยา จึงไม่อาจถูกเพิกถอนได้ (อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 7419/2543)

อีกทั้งยังยกข้อกฎหมายเรื่อง “อายุความ” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 วรรคสอง ที่ระบุว่า การฟ้องต้องกระทำภายใน 1 ปีนับแต่รู้เหตุ หรือไม่เกิน 10 ปีนับแต่วันที่ทำนิติกรรม ซึ่งในกรณีนี้ คุณอรุณฟ้องเมื่อปี 2566 ขณะที่นิติกรรมโอนเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2551

คำพิพากษาศาลชั้นต้น: ยังมีสิทธิในสินสมรส

ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง พิจารณาว่าทรัพย์สินพิพาทเป็นสินสมรส นายสมบัติถือกรรมสิทธิ์แทนคุณอรุณ และไม่มีหลักฐานว่าคุณอรุณยินยอมให้โอนโดยไม่รับรู้

การให้คุณดาวซึ่งไม่ได้เป็นภรรยาตามกฎหมายลงชื่อแทน เป็นการปกปิดข้อเท็จจริงที่สำคัญและกระทำโดยไม่สุจริต ศาลเห็นว่าการโอนที่ดินในส่วนเกินกรรมสิทธิ์ของนายสมบัติจึงตกเป็นโมฆะ และคุณอรุณยังมีสิทธิติดตามส่วนของตนคืนได้

ศาลจึงพิพากษาให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนใส่ชื่อคุณอรุณเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง และให้จำเลยออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์: “อายุความ” คือที่สุด

อย่างไรก็ตาม คดีไม่จบเพียงเท่านั้น เมื่อฝ่ายจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยถือว่าคดีนี้ต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 1480 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทบัญญัติเฉพาะ ไม่สามารถอ้างสิทธิตามมาตรา 1336 หรือ 1356 ได้

เมื่อคุณอรุณฟ้องหลังเวลาผ่านไปกว่า 10 ปี ศาลจึงเห็นว่า “ขาดอายุความ” และพิพากษายกฟ้องในที่สุด

บทเรียน: กฎหมายไม่รอเวลา

คดีนี้แสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ได้มีเพียงขาวหรือดำ และผู้หญิงทุกคนในคดีนี้ต่างก็มีแง่มุมที่น่าเห็นใจ ไม่ว่าจะเป็นคุณอรุณที่เสียสิทธิในทรัพย์สินที่สร้างร่วมกัน หรือคุณดาวที่อาจไม่ได้มีอำนาจในการกำหนดชะตาชีวิตของตนเองแต่แรก

อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด กฎหมายให้ความสำคัญกับ “เวลา” อย่างเคร่งครัด แม้คุณอรุณจะเป็นผู้เสียหายโดยตรง และแม้จะไม่มีเจตนาปล่อยปละละเลย แต่เมื่อฟ้องคดีพ้นอายุความ สิทธิที่มีก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถใช้ได้ในทางกฎหมาย

หากคุณมีข้อพิพาทเกี่ยวกับ สินสมรส, สิทธิในที่ดิน, หรือ การโอนทรัพย์สินที่ไม่โปร่งใส ควรรีบปรึกษาทนายความที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายครอบครัวโดยเร็ว เพื่อวางแผนการดำเนินคดีให้ทันเวลา ก่อนที่สิทธิของคุณจะหลุดลอยไปเพียงเพราะคำว่า “สายเกินไป”

 

สนใจปรึกษาติดต่อ

ทนายปภังกร (อาร์ต)

โทร. 0832659995

Line: @legalreso

No Comments

Post A Comment